เลือกใช้เว็บอีคอมเมิร์ซ สินค้าเราเหมาะกับช่องทางไหน

ตั้งหลักออนไลน์พามาแนะนำแพลตฟอร์มเว็บอีคอมเมิร์ซไซต์ ซึ่งในเวลานี้กำลังเป็นช่องทางธุรกิจออนไลน์ที่กำลังมาแรงมากแต่สินค้าของเราเหมาะกับช่องทางไหนบ้าง มาลองดูกันทีละอัน เพื่อไว้เป็นแนวทางหรือ Guideline กันครับ
Lazada e-commerce

เลือกใช้เว็บอีคอมเมิร์ซ สินค้าเราเหมาะกับช่องทางไหน

ตั้งหลักออนไลน์พามาแนะนำแพลตฟอร์มเว็บอีคอมเมิร์ซไซต์ ซึ่งในเวลานี้กำลังเป็นช่องทางธุรกิจออนไลน์ที่กำลังมาแรงมากแต่สินค้าของเราเหมาะกับช่องทางไหนบ้าง มาลองดูกันทีละอัน เพื่อไว้เป็นแนวทางหรือ Guideline กันครับ
อีคอมเมิร์ซที่แนะนำ มีอะไรบ้าง
ก่อนอื่น ต้องประเมินตามประเภทสินค้า
เพราะไม่ใช่สินค้าทุกประเภทที่จะเหมาะกับการวางขายบนหน้าร้านออนไลน์แบบเดียวกันไปหมด เราต้องรู้ก่อนว่า เราจะขายอะไร สินค้าหรือบริการของเราคือประเภทไหน อาทิ

  • Lazada – ช่องทางเว็บอีคอมเมิร์ซยอดนิยมและชื่อดังที่สุดของจีนที่เข้ามาให้บริการในเมืองไทย
  • Amazon – ช่องทางเว็บอีคอมเมิร์ซอันดับหนึ่งของโลกในเวลานี้
  • eBay – ช่องทางเว็บอีคอมเมิร์ซที่โด่งดังและได้รับความนิยมไปทั่วโลก
  • Shopee – ช่องทางเว็บอีคอมเมิร์ซที่กำลังมาแรงในเอเชีย
  • Taobao – ช่องทางเว็บอีคอมเมิร์ซแบบ C2C ที่ใหญ่ที่สุดของจีน
  • Tmall – เว็บแบบ B2C ที่ใหญ่ที่สุดของจีน

aliexpress
กลุ่มลูกค้าของเราคือใคร
เราจำเป็นต้องประเมินกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนครับ ว่าเราจะขายใคร และสินค้าของเราเป็นประเภทไหน จึงจะได้เลือกให้เหมาะสม
เช่นถ้าเป็น eBay จะมีข้อดีมากคือ มีกลุ่มลูกค้าที่พร้อมซื้อสินค้าจำนวนมาก เนื่องจากมีจำนวนสมาชิกมากกว่า 800 ล้านคนจากทั่วโลก อีกทั้งทางเว็บก็มีการทำการตลาดเพื่อช่วยโปรโมตสินค้าอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วด้วย
eBay ยังมีจุดเด่นเรื่องระบบที่น่าเชื่อถือ สามารถทำให้เกิดการซื้อซ้ำจากผู้ซื้อได้ และยังสามารถช่วยเป็นตัวกลางช่วยไกล่เกลี่ยระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในกรณีมีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างการซื้อขายได้ด้วย แล้วที่สำคัญคือ มีระบบการจ่ายเงินที่ไว้วางใจได้และรองรับสกุลเงินที่หลากหลายจากทั่วโลก ทำให้ผู้ขายสามารถขายสินค้ากับคนทั่วโลกได้อย่างง่ายดายด้วย
แต่ถ้าจะมองหาโอกาสบุกตลาดในประเทศอื่นที่ชัดเจน เช่น บุกตลาดจีน ก็ต้องเจาะทางเว็บอีคอมเมิร์ซในจีนเป็นหลัก ซึ่งก็ได้แก่ Tmall Taobao Aliexpress 1168
ตัวอย่างเช่น ถ้าสินค้าของเราเน้นราคาไม่แพง เป็นแบรนด์ท้องถิ่น อยู่ในกลุ่มเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า อาหารแห้ง ขนม เป็นต้น กรณีนี้ ถ้าเรามองตลาดเมืองจีน เราก็สามารถนำไปขายบน Taobao ซึ่งเป็นเว็บค้าปลีกสำหรับสินค้าประเภทนี้ได้ ข้อดีคือ ใครก็สามารถที่จะลงสินค้าได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
แต่ข้อเสียที่พบคือ ความน่าเชื่อถือก็จะต่ำกว่าเว็บอื่นไปด้วย เพราะเป็นเรื่องของผู้ค้าปลีกรายย่อย หรือกระทั่งผู้บริโภคเองที่ลงขายด้วยตัวเอง
แต่ถ้าเป็นสินค้าที่คนจีนเองก็นิยมอยู่แล้ว มีชื่อเสียงอยู่ก่อน เช่น ทุเรียนหมอนทอง มังคุด และผลไม้ไทยบางประเภท ไปจนถึงสินค้าที่มีแบรนด์ส่งออกได้ กลุ่มเครื่องสำอาง Luxury หรือเป็นสินค้าจากห้างสรรพสินค้า พวกนี้ต้องไปลงใน Tmall ซึ่งก็ต้องมีการจดทะเบียนที่ถูกต้อง มีค่าใช้จ่ายเบื้องต้น แต่ความน่าเชื่อถือของสินค้าก็จะสูงกว่าของ Taobao ไปด้วย
หรือถ้าเป็น Aliexpress และ 1168 ก็จะเป็นเสมือนแหล่งรวมร้านค้าส่งของจีน ซื้อยิ่งเยอะ ก็ยิ่งราคาถูก ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า แฟชั่น เครื่องประดับ ข้อดีคือ ยิ่งซื้อเยอะ ก็ยิ่งได้ถูก และการันตีสินค้าด้วย แต่ข้อด้อยก็คือต้องสั่งเยอะเช่นกัน
สุดท้ายแล้ว ก็อยู่ที่ประเภทของสินค้าที่เราต้องการขายครับ ซึ่งจำเป็นต้องประเมินให้ดี รวมถึงเรื่องสงครามราคาเป็นเรื่องที่เราต้องเจอเสมอสำหรับการขายของบนอีคอมเมิร์ซ

สามารถติดตามเรา PSO ( Passive Selling Online ) ได้หลายช่องทางดังนี้
Facebook Page: passivesellingonline
LINE: @psocourse (อย่าลืมใส่เครื่องหมาย @ ด้วยนะครับ)

แบ่งปันเพื่อนของคุณ :

Facebook
Twitter
Pinterest
LinkedIn