ตรวจสอบเว็บโดนแบนจาก Google
เว็บโดนแบนจาก Google คำถามคือ แล้วเราจะตรวจสอบได้อย่างไรบ้าง เพราะบางครั้งเราไม่รู้ตัวเลยว่าเว็บไซต์ของเรากำลังโดน Google แบนไปแล้ว รวมถึงองค์ประกอบที่ทำให้มีความเสี่ยงที่จะโดนแบนด้วยปัจจุบัน การทำ SEO ยังถือว่าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำหรับการทำอันดับของเว็บไซต์ให้ขึ้นมาอยู่บน Ranking ที่ดี บน Google แต่เนื่องจาก Google ก็มีการเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานของอัลกอริธึมที่บ่อยมากขึ้น และส่งผลต่อคนทำ SEO เข้าจังๆเลยก็หลายครั้ง วันนี้ทางทางเราจึงได้รวมเรื่องอะไรบ้างที่เป็น ข้อห้าม ในการทำ SEO ที่ควรระวัง แล้วควรรีบแก้ไขโดยเร็ว เพราะไม่อย่างนั้น Google อาจจะแบนเว็บไซต์ของเราได้ครับ โดยปกติแล้ว เว็บไซต์ที่โดนลดอันดับ Index ในหน้าค้นหาของ Google จะไม่ค่อยบอกเหตุผลมาโดยตรงว่าเพราะอะไร เราอาจจะต้องตรวจสอบปัญหาเอง ซึ่งถ้าเป็นเว็บไซต์ที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว เช่น เกี่ยวข้องกับการพนัน สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ เว็บที่อิงกับเรื่องการเมือง ศาสนา ไปจนถึงเรื่องเพศ ก็จะอยู่ในข่ายนี้อยู่แล้ว ซึ่งอันดับก็จะลดลงจากอัลกอริธึมของ Google Search แล้วในบางกรณี Google ยังอัพเดท Status ไม่ครบ ก็เลยพบว่าเว็บเรายังโดนแบนอยู่
1. การทำ SEO ด้วยเทคนิคทางลัด
ตัวอย่างเช่น การทำ Backlinks, Blog networks ซึ่งเป็นวิธีการทางลัดที่ไม่ค่อยโปร่งใส แม้ว่าที่ผ่านมา ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยให้อันดับเว็บไซต์ขึ้นมาบนหน้าแรก Google ได้เร็ว แต่เวลานี้ก็มีความเสี่ยงที่จะโดน Google ผลักออกจากหน้าแรกๆเช่นกัน ถ้าหากว่า A.I. ของระบบบน Google สามารถตรวจจับได้ (ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะจับได้แน่) ผลคือ เว็บไซต์ของคุณอาจจะแทบหาไม่เจอจากการค้นหาบน Google ไปเลย
2. ปั่นเนื้อหา Content บนเว็บไซต์ด้วยการ Copy & Paste
เรียกง่ายๆว่า เราไม่ได้เน้นการสร้างเนื้อหา Content ที่ดีพอให้กับเว็บไซต์ แต่ไปทำการ Copy & Paste เนื้อหามาจากเว็บไซต์อื่น ๆ โดยไม่ได้เรียบเรียงขึ้นมาใหม่ให้เหมาะสม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เพราะบางครั้งก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ทันทีว่า แอดมินของเว็บไซต์เราไปก็อปปี้เนื้อหาจากเว็บอื่นมาหรือเปล่า จนมารู้ตัวอีกทีก็โดนแบนไปแล้ว กรณีที่เว็บไซต์มีเนื้อหามากจนไม่มีเวลา ซึ่งถ้าเราไม่มั่นใจ ควรมอบหมายงานในส่วนของแอดมินที่ทำเว็บไซต์ กับคนทำเนื้อหา Content ให้แยกส่วนกันไปเลย หรือถ้าตัวเจ้าของเว็บไซต์ไม่ได้มีเวลาที่จะทำ Content ด้วยตัวเอง จะเป็นการดีมาก แต่ถ้าต้องการปั้นเนื้อหาในเว็บไซต์ด้วยการทำ SEO ควบคู่ไปด้วย ก็ลองหาบริการของคนเขียน Conent ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของคุณดูครับ ปัจจุบัน Google มีการตรวจจับที่ฉลาดขึ้นมาก ดังนั้นถ้าไม่แก้ไขเรื่องนี้ ระวังจะโดนแบนเอาได้ครับ
3. มี Link เสีย หรือมี Broken Link
เป็นหนึ่งในข้อเสียของการทำ SEO เพราะถ้าหากระบะบค้นหา Search Engine พบว่าเว็บไซต์นั้นมี link เสีย หรือ Broken Link อยู่มากเกินไป ก็จะให้คะแนนว่าเป็นเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพ และไม่นาเชื่อถือ สำหรับเว็บไซต์ที่ไม่ได้มี Link เสีย แต่ไม่ได้หมั่นเช็คว่า เอ แล้วต้นทางของ Link นั้นยังอยู่ดีหรือไม่ รีบตรวจสอบเถอะครับ ว่าเรามี Broken Link อยู่หรือเปล่า
4. ใช้บริการ Hosting ที่มีคุณภาพต่ำ
ข้อนี้เป็นเรื่องของค่าใช้จ่าย และการเช่าบริการ Hosting ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจเจ้าของเว็บไซต์อยู่เหมือนกัน แต่ถ้าคุณภาพต่ำ เปลี่ยนไปเถอะท่าน เพราะถ้าลองเข้าเว็บของคุณแล้ว มันใช้เวลาโหลดนาน แสดงว่าไม่ถูกต้องแล้ว คนที่กดเข้ามาหาเว็บต่าง ๆ บน Google พอเห็นว่ามันโหลดนาน เขาก็พร้อมจะกดถอยหลังกลับไปเลือกเว็บใหม่ที่โหลดเร็วกว่าแล้วละ
5. ไม่ได้ตรวจสอบว่ามันขึ้น Page Not Found
ข้อนี้มักเป็นผลสืบเนื่องมาจาก การใช้บริการ Hosting ที่คุณภาพต่ำ อันที่จริงนี่เป็นปัญหาขั้นพื้นฐานที่ไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ แต่เอ้อ ถ้ามันเจอแบบนี้บ่อย ๆ แล้วตัวจับของ Google มาเจอแบบนี้เข้า มันก็ทำให้เว็บเราไม่ติดอันดับสักที ทั้งที่เราก็ทำ SEO ไว้อย่างดีแล้ว
6. Link มากเกินไป
กลยุทธ์นี้ตกสมัยแล้ว ลองดูว่าเว็บไซต์ของคุณพยายามโยง Link ไปยังเว็บต่าง ๆ ทีเดียวเป็นร้อยเว็บหรือไม่ ซึ่งตัวจบของ Google ถ้าเจอแบบนี้ มันไม่ชอบแน่นอน ที่จริงเราสามารถทำได้ แต่ไม่ใช่อัดโครมเข้าไปทีหนึ่ง 100-200 Link แล้วที่สำคัญคือ เว็บที่ Link เข้ามาก็ควรสอดคล้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณด้วยครับ เพราะว่าตัวจับของ Google ก็ยังวัดคุณภาพเว็บของคุณจาก Link ที่ไปจากเว็บของคุณด้วยเหมือนกัน
7. SEO ที่อัดจำนวน Keywords
เป็นเรื่องที่หลายคนรู้อยู่แล้ว แต่ก็พบว่าคนทำ SEO จำนวนมากยังติดหล่มกับดักนี้อยู่ ซึ่งก็ช่วยไม่ได้ เพราะโปรแกรมที่ช่วยประเมินคุณภาพ SEO ที่หลายคนใช้กัน ให้ความสำคัญกับเรื่อง Keywords อย่างมาก จนมันกลายเป็นว่า เนื้อหา Content ที่ทำออกมา มันไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย มากเกินไป เพราะการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริธึมของ Google หลายครั้ง ได้จำกัดจำนวนของ Keywords ตัวหลัก ต่อบทความเอาไว้เพียงไม่กี่คำเท่านั้น ต่อให้ใส่ Keywords มาก ๆ ก็ไม่มีประโยชน์อีก ซึ่งเรียกง่ายๆว่า ไม่สนใจเรื่องการสร้างพื้นฐานที่ดีให้เว็บไซต์ นั่นคือเรื่องที่ควรหลีกเลี่ยง และก็มีหลายเว็บไซต์ทที่ละเลยในเรื่องนี้ไป การทำ SEO เชิงเทคนิค ยังสามารถใช้ได้ แต่ไม่ควรให้เป็นวิธีการหลักหรือตัวนำอีก กำจัดคอนเทนต์ที่ไม่มีคุณภาพออกไปจากระบบของคุณ (ไม่ว่าจะเป็นบนเว็บของคุณเองหรือ link network ไหนก็ตาม) เพราะระบบ Machine Learning ตัวใหม่ล่าสุดบน Google อย่าง Rank Brain จะมีความสามารถในการเรียนรู้ว่าคอนเทนต์ไหนดีเหมาะกับคนอ่านหรือเป็นแค่คอนเทนต์ขยะที่สร้างขึ้นเพื่อ SEO กำจัดมันออกไปก่อนคุณจะโดนกำจัด การสร้างคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านนั้นเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ไม่สามารถการันตีได้เสมอไปว่า เว็บไซต์จะขึ้นมาติดหน้าแรกภายในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งสาเหตุก็มาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น การแข่งขันสูง เนื้อหามีความซ้ำซ้อนกับคู่แข่ง ไปจนถึงคนทำ Content เองก็ไม่มีคุณภาพและทักษะมากพอ
- บางคำมีการค้นหาสูง การแข่งขันสูง ทำให้ระยะเวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ 3-6 เดือน จึงจะขึ้นหน้าแรกได้สำเร็จ
- จำเป็นต้องหมั่นอัพเดทอยู่เสมอ จึงอาจเป็นข้อจำกัดของบางเว็บไซต์ที่มีสินค้าและบริการไม่มากนัก เพราะเป็นการยากที่จะสามารถขยาย Content ได้ทุกวัน
- การเปลี่ยนแปลงอัลกอริธึมของ Google มีความถี่บ่อยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการทำ SEO โดยตรง
5 เรื่องที่ควรทำสำหรับ SEO
- มีค่าใช้จ่ายในการทำ SEO ไม่สูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการยิงโฆษณาด้วย Google Adwords
- เนื่องจากการใช้ Google เพื่อค้นหาข้อมูลด้วย Keywords ต่างๆ เป็นพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตโดยทั่วไปอยู่แล้ว การทำ SEO ช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของเรามากขึ้น
- ตามธรรมชาติแล้ว ผู้ที่จะค้นหา Keywords หรือข้อความต่างๆบน Google ย่อมแสดงว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจในสินค้าและบริการนั้นอยู่แล้ว
- กรณีที่สามารถทำให้ติดหน้าแรกได้แล้วยังไม่มีคู่แข่ง ก็มีโอกาสที่จะติดหน้าแรกเป็นเวลานานข้ามปี มีบางกรณีที่แทบจะไม่ได้อัพเดทอะไรเพิ่มแล้ว แต่เมื่อค้นหาคำใน Google ก็ยังพบขึ้นมาหน้าแรกอยู่ดี
- ช่วยให้ระบุ Keywords ในการค้นหาของเราได้ชัดเจนด้วย
SEO กลยุทธ์เน้นทำ Keywords เพื่อดันให้เว็บไซต์ขึ้นหน้าแรก
SEO หรือ Search Engine Optimization โดยหลักการคือการผลิตเนื้อหา Content เพื่อดันเว็บให้ขึ้นหน้าแรกเป็นหลัก ส่วนใหญ่แล้วต้องอาศัยประสบการณ์ ทักษะการเขียน และความเข้าใจในระบบค้นหาของ Google ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ Keywords ค่อนข้างมาก ทำให้หน้าแรกด้วยวิธีการเขียนคอนเทนต์ล้วนๆ ซึ่งต้องใช้ทักษะและฝีมือ รวมไปถึงประสบการณ์ค่อนข้างมาก หลักการโดยย่อที่จะทำให้ติดหน้าแรกได้คือดังนี้
ต้องมี คีย์เวิร์ด (Keywords)
เช่นถ้าหากต้องการเขียนเรื่องกระเป๋า เพื่อให้ติดหน้าแรก คำที่ควรโฟกัสคือคำว่า “กระเป๋า” ควรใส่คำนี้ลงในพาดหัว ในย่อหน้า ในบทความ และตั้งชื่อรูปรวมถึง Alternative Text ต้องมีคีย์เวิร์ดคำว่า “กระเป๋า” เช่นเดียวกัน
คีย์เวิร์ดกว้างไปไม่ใช่เรื่องดี
อย่างที่กล่าวไปด้านบนคีย์เวิร์ดคำว่า “กระเป๋า” เป็นคีย์เวิร์ดที่กว้างมาก และมีคนใช้เป็นจำนวนมาก การที่จะทำให้ติดหน้าแรกก็เป็นเรื่องยากตามไปด้วย สำหรับมือใหม่แนะนำคีย์เวิร์ดที่แคบลงมา เช่น “กระเป๋า” > “กระเป๋าเดินทาง” > “กระเป๋าเดินทางสีดำ” คำที่มีโอกาสติดหน้าแรกมากที่สุดคือ “กระเป๋าเดินทางสีดำ” เป็นเพราะมีคนใช้น้อยกว่า จึงมีโอกาสติดหน้าแรกด้วยคีย์เวิร์ดนี้มากกว่านั่นเอง
หมั่นอัพเดตหน้าเว็บไซต์เป็นประจำ
เว็บไซต์ที่มีความเคลื่อนไหวอยู่เรื่อยๆ กูเกิลจะมองว่าเป็นเว็บไซต์ที่น่าสนใจ ดังนั้นควรหมันเพิ่มบทความ สินค้าหรือบริการอยู่เรื่อยๆ เพราะทุกครั้งที่มีบทความ เท่ากับต้องใช้คีย์เวิร์ดใหม่ๆ ทำให้เรามีโอกาสติดหน้าแรกด้วยคำอื่นๆ นอกเหนือจากเพียงคำเดียว โดยสรุปแล้ว SEO เป็นวิธีการที่เคยได้รับความนิยมมากในหลายปีหลัง แต่เนื่องจาก Google มีการเปลี่ยนแปลงอัลกอริธึมที่จะส่งผลต่อการเข้าถึงและค้นหาเว็บไซต์ต่างๆอยู่บ่อยครั้ง จึงกลายเป็นว่าหลายบริษัทและเอเจนซี่ที่ทำ SEO เริ่มจะประสบปัญหามากขึ้น ซึ่งทางแก้ไขหนึ่งก็คือการสร้าง Content ที่มีความน่าสนใจและตอบโจทย์ของผู้ค้นหาให้ได้มากขึ้น แต่ก็ต้องอาศัยทักษะอย่างมากเช่นกัน
ลงโฆษณาด้วย Google Adwords ช่วยติดหน้าแรกทันทีเมื่อพิมพ์ค้นหา
Google Adwords คือเครื่องมือโฆษณาชนิดหนึ่ง ที่ทำให้การค้นหาติดอันดับอยู่หน้าแรกทันที เพียงแค่ใช้คีย์เวิร์ดที่เราต้องการ เช่น ถ้าเราใส่คีย์เวิร์ดลงไปว่า “รถยนต์” จะมีโฆษณาจากเต็นท์รถยนต์มือสองปรากฏที่ด้านบนของการค้นหา ทำให้มีโอกาสที่จะขายสินค้าและบริการได้มากขึ้น ซึ่งจะเรียกว่า Paid Search ซึ่งวิธีการโฆษณาสามารถใส่คีย์เวิร์ดที่เราต้องการลงไปกี่คำก็ได้ และใส่ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของเรา โดยการคิดค่าโฆษณาของ Google Adwords นั้นจะคิดเงินตามคลิก ที่เรียกว่า Cost per Click (CPC)
ข้อดีของการโฆษณาด้วย Google Adwords แบบเน้นการค้นหา
- การันตีการติดอันดับต้นๆของ Google ได้ทันที ไม่ต้องรอระยะเวลานานเหมือนการทำ SEO
- ใส่คีย์เวิร์ดที่ต้องการให้โฆษณาไปกี่คำก็ได้
- การคิดเงินเป็นแบบตามจริง คือต่อเมื่อมีคนคลิกเข้ามาหลังจากค้นหาบน Google แล้วเท่านั้น
- กรณีถ้าไม่มีคนคลิกหลังจากค้นหาเจอบน Google แล้ว เราก็ไม่เสียเงิน ไม่ว่าโฆษณานั้นจะแสดงไปกี่ครั้งก็ตาม
- สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน และตรงกลุ่มที่จะซื้อสินค้าและบริการของเรา ถ้าเราสามารถใส่ Keywords ได้เหมาะกับธุรกิจ
ข้อด้อยของการยิงโฆษณาด้วย Google Adwords
- บาง Keywords มีแนวโน้มว่าการแข่งขันสูงเกินไป แนวโน้มที่คนจะเลือกคลิกเว็บของเราหลังจากค้นบน Google ก็ไม่ได้การันตีว่าจะเข้ามาเสมอไป
- แนวโน้มของคนที่คลิกเลือกเว็บไซต์ที่ยิงโฆษณา น้อยกว่าอันดับที่มาจาก Organic
- เครื่องมือมีความซับซ้อนพอสมควร ถ้าไม่ได้เชี่ยวชาญก็ต้องค่อยๆเรียนรู้
- การทำต้องมีความรู้เรื่องการตลาดบ้าง และอาจต้องเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคในตลาดออนไลน์ด้วย
โดยสรุป
อันที่จริงแล้ว ทั้งสองทางเลือกสามารถทำควบคู่กันไปเพื่อให้เว็บไซต์เข้าถึงผู้ค้นหาใน Google ได้ ไม่จำเป็นต้องทำเพียงด้านใดด้านหนึ่งเสมอไป เพราะต่างก็มีข้อเด่นและข้อด้อยด้วยกันทั้งสองทางนั่นเองธุรกิจประสบความสำเร็จได้ ครั้งหน้าทาง Digital Marketing Wow จะสอนวิธีการใช้งาน Google Adwords เบื้องต้น สำหรับสร้างโฆษณาเฉพาะเครือข่ายการค้นหา (Paid Search) ที่จริงแล้ว การเขียนบทความหรือ Content ที่น่าสนใจแล้วอัพเดทบ่อยๆบนเว็บไซต์นับว่าเป็นวิธีที่ดูแล้วค่อนข้างยากสำหรับกลุ่มเว็บไซต์ที่เน้นขายสินค้าและบริการ เพราะไม่ได้มี Content ที่จะคอยอัพเดทกันทุกวันเสมอไป แต่อันที่จริงแล้ว ถ้าเข้าใจหลักการในการจัดอันดับของ Google มากพอ ก็สามารถทำให้เรื่องนี้ทำได้ง่ายมากขึ้น เพราะสำหรับเว็บไซต์ที่มุ่งเน้นการขายสินค้าและบริการ ถ้าสามารถผลักดันให้ขึ้นมาติดในการค้นหาหน้าแรกของ Google ได้ ก็มีโอกาสที่จะเพิ่มยอดขายได้อย่างมาก
===============================================
สามารถติดตามเรา PSO ( Passive Selling Online ) ได้หลายช่องทางดังนี้
Facebook Page: passivesellingonline
LINE: @psocourse (อย่าลืมใส่เครื่องหมาย @ ด้วยนะครับ)